วินรถตู้อนุสาวรีย์ฯ ไล่รถฉุกเฉินขณะรับตัวคนท้องหมดสติ

วินรถตู้อนุสาวรีย์ฯ ไล่รถฉุกเฉินขณะรับตัวคนท้องหมดสติ

เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อมีการเผยแพร่คลิปวีดิโอเหตุการณ์คนขับรถตู้วินอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยมีรถพยาบาลกำลังรับตัวคนไข้ที่กำลังหมดสติอยู่ และมีอาการท้องนอกมดลูก มีเลือดออกในช่องท้อง และชักเกร็ง เจ้าหน้าที่กำลังพาขึ้นรถพยาบาลเพื่อให้ยาและให้น้ำเกลือ แต่กลับถูกขับไล่จากสมาชิกวินรถตู้ฯ เพราะทับที่จอดรถตู้

โดยในเหตุการณ์ มีทั้งหยิงและชายที่มาจากคิวรถตู้ 

พยายามบอกให้รถพยาบาลเลื่อนรถ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าใช้เวลาเพียงไม่เกิน 5 นาที เนื่องจากกำลังให้น้ำเกลือคนไข้อยู่  และพร้อมให้ขับแซงเข้ามาเพื่อจอดได้เลย แต่ผู้หญิงจากวินฯก็ยังโวยวายไม่หยุด และเร่งให้ให้รถพยาบาลออกไป

นอกจากนี้ มีการเผยเพิ่มเติมจากเจ้าของโพสต์ชื่อ ไพรัตน์ เนียมพิมาย ว่าเหตุที่รถขยับไม่ได้เพราะ พยาบาลต้องหาเส้นเลือดเพื่อเจาะสายน้ำเกลือ และรถพยาบาลก็จอดอยู่ที่จุดดังกล่าวไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น และที่ตัดสินใจนำคลิปเหตุการณ์มาลงเพราะต้องการให้คนทั่วไปเข้าใจการทำงานของรถพยาบาล ซึ่งอาจต้องจอดในที่จอดของผู้อื่น หรือที่ห้ามจอดบ้าง แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน และทำไปเพื่อการช่วยเหลือชีวิตคน

วันนี้ (18 ก.ค.) ได้มีการเข้าตรวจสอบที่ตึกกุมารเวชกรรม รพ.ชลบุรี หลังน.ส.จิราภรณ์ อายุ 18 ปี แม่ของน้องลูกตาล อายุ 1 ขวบ 8 เดือนได้โพสต์ภาพเด็กน้อยมีแผลและรอยช้ำทั่วตัว พร้อมรอยปูดที่ตา และระบุว่าเด็กถูกทำร้าย

โดยแม่เด็กระบุว่า ได้นำลูกไปฝากเลี้ยงกับคนรู้จัก และจ่ายค่าเลี้ยงดูให้วันละ 200 บาท เนื่องจากตนเองไม่มีเวลา ต้องทำงานเสริมสวย และแยกทางกับสามีแล้ว

น.ส.จิราภรณ์ เล่าว่า เมื่อวานนี้ที่มรรับลูก รู้สึกตกใจมาก เพราะเห็นรอยบาดแผลเหมือนถูกทำร้ายร่างกาย พร้อมรอยถูกกัด เมื่อถามคนเลี้ยงคือ นางจงลักษณ์ อายุ 34 ปี ก็ยอมรับเพียงว่าตีเด็กที่หน้าอก แต่รอยๆ อื่นๆ นั้น อ้างว่าเด็กตกลงมาจากรถเอง ซึ่งกรณีนี้ ตนจะไม่ยอมเด็ดขาด รู้สึกสงสารลูกสาวมาก และเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

น.ส.จิราภรณ์ บอกว่าได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เสม็ด ไว้แล้ว ส่วนทางตำรวจ เผยว่า ได้เห็นรอยแผลและรอยช้ำของเด็กแล้วและได้เรียกตัวคนถูกกล่าวหามาสอบสวน หากมีความผิดจริงก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างแน่นอน

นักท่องเที่ยวร้องตำรวจ รถตู้โก่งราคาค่าโดยสารมหาโหด จากสนามบินภูเก็ตไปโรงแรมแถวกะตะ 3,000 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์เรื่องราวลงกลุ่ม “กลุ่มเสียงประชาชน คนภูเก็ต “กระบอกเสียงคนภูเก็ต”” ในเฟซบุ๊ก ข้อความว่า “มีนททชาวออสเตรเลียมาแจ้งความที่สภ .กะรนครับว่าเมื่อคืนตนสองคนได้เรียกรถตู้จากสนามบินภูเก็ตและเข้าพักที่โรงแรมพีสฮิวกะตะ มาถึงโรงแรมคนขับเรียกเก็บเงินจากตน3000บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากซึ่งส่วนตัวผมก็ทำงานบริการนักท่องเที่ยว

ขอเถอะครับไม่รวย คุณทำแบบนี้มีแต่จะทำลายการท่องเทียวภูเก็ต (รปภจดทะเบียนไว้ให้เรียบร้อยแต่ขอสงวนไว้)” ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบกับ google map พบว่าระยะทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตมาบริเวณกะตะมีระยะทางประมาณ 46-47 กิโลเมตร ซึ่งไม่น่าจะคิดราคาแพงขนาดนี้

หลังจากเรื่องดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย เช่น ทำแบบนี้เป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง ซ้ำยังทำลายเพื่อนร่วมอาชีพ ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวภูเก็ตอีกด้วย

“หลังจากนี้ไม่ต้องโอดไม่ครวญกันละว่าเศรษฐกิจไม่ดี นทท.น้อย คงรู้สาเหตุกันแล้วน่ะ ” – ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง

ชาวเน็ตแฉ กระบะกร่าง เฉี่ยวเก๋ง แถมลงไปชก-ขับหนี แล้วชนฟอร์จูนเนอร์ซ้ำทำเด็กบาดเจ็บ

วันนี้ (17 ก.ค.) มีการแชร์คลิปในโลกออนไลน์แฉพฤติกรรมชายขับกระบะ เฉี่ยวชนรถยนต์คันหนึ่งก่อนจะลงไปทำร้ายร่างกายคู่กรณี แล้วขับหนี ก่อนจะชนเข้ากับรถฟอร์จูนเนอร์ใกล้ๆ กันจนพลิกตะแคง ส่งผลให้เด็กหญิงที่นั่งอยู่ในรถได้รับบาดเจ็บ

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ที่เส้นทางบ้านเก่า-พานทองช่วงบริเวณแยกไฟแดงหนึ่งอร่อย อ.พานทอง จ.ชลบุรี นายเอกชัย ซึ่งขับรถกระบะมา เฉี่ยวชนรถยนต์โตโยต้า วีออส สีขาว โดยนายเอกชัยมีท่าทางคล้ายมึนเมา เจ้าของรถยนต์จึงขับเข้าไปในปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยตกลงกัน แต่นายเอกชัยกลับขับเข้าชนซ้ำที่ด้านหน้ารถอีกครั้ง

เมื่อเจ้าของรถยนต์คู่กรณีโทรคุยกับประกันเพื่อเรียกมาเคลียร์ นายเอกชัยก็แสดงท่าทางไม่พอใจ โวยวาย แล้วตรงเข้าไปทำร้ายร่างกายทันที ก่อนจะขับรถกระบะหลบหนี มุ่งหน้าเส้นพานทอง และพุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์อีกคันอย่างจังทำให้รถคันดังกล่าวพลิกตะแคงและทำให้เด็กอายุ 14 ปี บาดเจ็บที่ปวดหัวไหล่ซ้ายและมีอาการเจ็บปวดแผ่นหลัง ส่วนรถกระบะของนายเอกชัย พังเสียหายจนไม่สามารถขยับได้อีก เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยได้ช่วยเหลือปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้น ก่อนเคลื่อนย้ายนำส่งรพ.วิภาราม อมตะนคร

ยังได้คำเบิกความของ เจ้าหน้าที่วิศวอาคารและหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พยานโจทก์ทั้ง 3 ว่า ทรัพย์สินบางรายการ เช่น พรม หรือเฟอร์นิเจอร์ อาจไม่ต้องซ่อมแซม เพียงแต่ทำความสะอาดก็ สามารถใช้งานได้ดังเดิม

เมื่อจำเลยทั้ง 6 ปฏิเสธโต้เถียงว่าโจทก์ทั้ง 3 เรียกค่าเสียหายสูง เกิน กรณีจึงไม่ อาจรับฟังว่าโจทก์ทั้ง3ต้องเสียหายตามจำนวนที่กล่าวอ้าง แต่แม้โจทก์ทั้ง3จะนำสืบความเสียหายได้ ไม่สมข้ออ้าง